ขณะที่ปัจจัยที่ 2 ซึ่งเป็นปัจัยสำคัญนั่นก็คือการสนับสนุนทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เริ่มขาดตอน หลังพันธมิตรคนสำคัญอย่างสหรัฐฯ ยังไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนยูเครนและชาติพันธมิตรอื่นๆ ออกมาได้เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว
ล่าสุดวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณดังกล่าว แม้ว่าก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวจะออกจดหมายเตือนไปยังสภาคองเกรสว่า งบประมาณช่วยเหลือยูเครนที่มีอยู่กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปีนี้
เด็กหญิงรัสเซียยิงเพื่อนดับ 1 เจ็บเพียบ ก่อนจบชีวิตตัวเอง
รัสเซียยึดรถหุ้มเกราะสหรัฐฯ ในยูเครน เปิดช่องหาจุดอ่อน
วานนี้ ( 6 ธ.ค.) วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติต่อร่างงบประมาณฉุกเฉินเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือชาติพันธมิตรและยกระดับความมั่นคงชายแดน หลายฝ่ายจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากส่วนหนึ่งของร่างเป็นเงินสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามต้านทานรัสเซีย ซึ่งขณะนี้มีสัญญาณว่ายูเครนอาจเผชิญปัญหาขาดแคลนอาวุธและกระสุนในเวลาอันใกล้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ผลปรากฏว่า สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกันได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณฉบับดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 49 ต่อ 51 ส่งผลให้ร่างถูกปัดตก เนื่องจากต้องได้รับเสียงโหวตอย่างน้อย 60 เสียงจากทั้งหมด 100 เสียง จึงจะผ่านร่างไปสู่กระบวนการพิจารณาขั้นต่อไปได้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนวุฒิสภาจะเปิดลงคะแนนเสียง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างงบประมาณฉบับนี้
โดยระบุว่า หากงบไม่ผ่านในการประชุมสมัยนี้จะหมายถึงการมอบชัยชนะให้แก่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และนี่คือความเสี่ยงในการดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงคราม เพราะหากรัสเซียยึดครองยูเครนได้สำเร็จ รัสเซียจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น
เกิดอะไรขึ้นในสภาคองเกรส ทำไมวุฒิสภาจึงไม่ยอมผ่านงบประมาณช่วยเหลือยูเครน ร่างงบประมาณที่ไม่ผ่านคือแพ็กเกจความช่วยเหลือพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ยูเครน อิสราเอล ไต้หวัน รวมถึงเพื่อยกระดับความมั่นคงชายแดนสหรัฐฯ
งบก้อนนี้มีมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินที่จะช่วยยูเครน 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำเนียบขาวได้เสนอให้สภาคองเกรสพิจารณาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หรือเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว แต่สมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันสายอนุรักษ์นิยมไม่เห็นด้วยในรายละเอียด เนื่องจากต้องการให้รัฐบาลเพิ่มความเคร่งครัดเรื่องผู้อพยพและการควบคุมชายเเดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกก่อน
ความชะงักงันลากยาวจนเกือบสิ้นสุดสมัยสภา และทำให้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านงบประมาณของทำเนียบขาวออกมาส่งจดหมายเปิดผนึกกดดันสภาคองเกรส
เมื่อวันอังคารช่วงวันอังคารที่ผ่านมา วุฒิสภาเปิดอภิปรายเรื่องนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียดโดยมี สว.บางส่วน walk out ก่อนที่จะโหวตคว่ำร่าง ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสภาคองเกรสจะพิจารณาและผ่านงบประมาณได้ทันก่อนจะปิดสภาในอีกไม่กี่สัปดาห์หน้าได้หรือไม่ แต่หลายฝ่ายประเมินว่าอาจจะไม่ทัน
ขณะที่ความช่วยเหลือจากพันธมิตรคนสำคัญอย่างสหรัฐฯ ตกอยู่ในความไม่แน่นอน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ได้ออกมาระบุเมื่อวันพุธว่า ยูเครนจะยังต่อสู้เพื่อต้านทานรัสเซียต่อไปและไม่มีสิ่งอื่นใดที่ยูเครนจะได้รับนอกจากชัยชนะเหนือรัสเซีย และแม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยูเครนก็จะเอาชนะให้ได้แม้แทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
ด้านประชาชนชาวยูเครนก็ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า หากยูเครนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ โอกาสที่สงครามจะยืดเยื้อมีสูงมาก ส่วนอีกรายระบุว่า ผลกระทบจากความช่วยเหลือที่ลดลงเริ่มสัมผัสได้แล้ว โดยเขาเพิ่งจะเสียเพื่อนคนหนึ่งไปจากการสู้รบ
ล่าสุดทหารยูเครนหลายนายให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ว่าเริ่มสัมผัสได้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เริ่มลดลงแล้ว โดยหน่วยปืนใหญ่หน่วยหนึ่งทางเหนือของเมืองอัฟดีฟกา ซึ่งขณะนี้การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ได้รับกระสุนปืนใหญ่ที่จัดสรรมาเพียง 20 นัดต่อวันเท่านั้น ขณะที่เมื่อปีที่แล้วช่วงปฏิบัติการโต้กลับที่เคอร์ซอน ทหารยูเครนมีกระสุนใช้มากกว่านี้ถึง 5 เท่า
สอดคล้องกับข้อมูลที่เฟรเดริก เคแกน ผู้อำนวยการโครงการ Critical Threats Project ของ American Enterprise Institute ระบุกับสำนักข่าวบีบีซีว่า ความล่าช้าในการผ่านเงินช่วยเหลือของสหรัฐฯ กำลังส่งผลกระทบต่อการสู้รบของทหารยูเครนในสนามรบ เห็นได้จากปฏิบัติการโต้กลับที่ขณะนี้ลดสเกลลงแล้ว
แม้ว่ายูเครนจะได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรในยุโรป แต่ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯสำคัญที่สุด เพราะสหรัฐฯ เป็นเพียงชาติเดียวที่สามารถจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งประเภทและจำนวนที่ยูเครนร้องขอได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรถถังประจัญบาน รถหุ้มเกราะ หรือระบบยิงขีปนาวุธพิสัยไกล
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ประธานาธิบดีปูตินดูเหมือนมีความมั่นใจมากขึ้น โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่ามา ประธานาธิบดีรัสเซียได้เดินทางออกนอกพื้นที่ที่เป็นอดีตรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ารุกรานยูเครน
ล่าสุดจุดหมายปลายทางที่ประธานาธิบดีปูตินเดินทางไปเยือนคือชาติพันธมิตรในตะวันออกกลาง นั่นคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบีย
เป็นครั้งที่ 5 แล้วประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียเดินทางออกนอกรัสเซีย หลังรัสเซียเปิดฉากทำสงครามรุกรานยูเครนเมื่อปี 2022 ชาติพันธมิตรที่ประธานาธิบดีปูตินไปเยือนครั้งนี้คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบีย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คือจุดหมายแรก หลังจากประธานาธิบดีปูตินเดินทางถึงกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ได้จัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ประธานาธิบดีปูตินได้เข้าพบ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซายิด อัลนะฮ์ยาน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนที่จะเริ่มหารือร่วมกัน ประธานาธิบดีรัสเซียระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อยู่ในระดับที่ดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า วาระที่อยู่ในการหารือครั้งนี้ได้แก่ความร่วมมือด้านน้ำมันและพลังงานระหว่างทั้งสองชาติ ภายใต้กรอบ OPEC+ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างชาติผู้ผลิตน้ำมันของโลก นอกจากนี้สงครามในยูเครนและสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสก็อยู่ในประเด็นหารือครั้งนี้เช่นกัน
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีก็ได้เดินทางไปต่อไปยังกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียเพื่อเข้าพบเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย
สำหรับรัสเซีย ซาอุดีอาระเบียคือพันธมิตรหลักในกลุ่ม OPEC+ ส่วนวาระหลักของการหารือที่ทางการรัสเซียเปิดเผยออกมาคือ ความร่วมมือด้านน้ำมันภายใต้กรอบ OPEC+ เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังพูดคุยกันเกี่ยวกับสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับผลการหารือร่วมกับผู้นำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบียออกมาว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเยือนกลุ่มประเทศอ่าวครั้งนี้ อาจเป็นการแสวงหาพันธมิตรเพื่อต่อต้านชาติตะวันตก โดยเฉพาะในสงครามยูเครน
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาต่อจากนี้คือ ประธานาธิบดีปูตินจะเชิญประธานาธิบดีอิหร่าน พันธมิตรคนสำคัญของรัสเซียเยือนกรุงมอสโกในเดือนนี้
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียได้ออกมายืนยันว่า ประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี ผู้นำอิหร่านจะเดินทางเยือนกรุงมอสโกเพื่อหารือร่วมกับประธานาธิบดีรัสเซียอย่างแน่นอนในเดือนนี้
ที่ผ่านมา รัสเซียกับอิหร่านถือเป็นพันธมิตรที่แนบแน่น โดยอิหร่านคือชาติที่สนับสนุนยุทโธปกรณ์ทางการทหารให้กับรัสเซีย และมีท่าทีต่อต้านชาติตะวันตกร่วมกัน
อย่างไรก็ดี การเปิดฉากทำสงครามรุกรานยูเครนของรัสเซียผลักให้รัสเซียและอิหร่านใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก อิหร่านคือหนึ่งในประเทศที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยที่ชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย
ขณะที่เมื่อกรกฎาคมปีที่แล้ว ระหว่างที่ประธานาธิบดีปูตินเยือนอิหร่าน ทั้งคู่ต่างระบุว่ารัสเซียและอิหร่านจะกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้นทั้งเรื่องความมั่นคงและเรื่องการค้า
ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านเคยออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า อิหร่านเป็นผู้จัดหาซื้อโดรนและขีปนาวุธจำนวนมากให้กับรัสเซีย โดรนรุ่นหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันมากและมักถูกพบในการโจมตีทางอากาศใส่ยูเครนหลายครั้งคือ โดรนชาเฮด-136
กระแสข่าวที่ผู้นำรัสเซียและอิหร่านจะพบกันที่กรุงมอสโก ทำให้สหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวล จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังจับตามองรัสเซียและอิหร่านอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติถือเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากอิหร่านยังคงขายโดรนให้แก่รัสเซียอยู่ และรัสเซียก็ใช้โดรนเหล่านี้ในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและคร่าชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์
ป.ป.ช. แจงยิบ ยืนยัน“ครูชัยยศ” ถูกปลดเพราะมีมูลความผิดอย่างร้ายแรง
ยูเนสโกประกาศแล้ว! "สงกรานต์" เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
คกก.ซอฟต์พาวเวอร์ เคาะงบฯ 5,164 ล้าน ดัน 11 ด้านซอฟต์พาวเวอร์ไทย